โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๘. เปรตภูมิ

๘. เปรตภูมิ

สมัยหนึ่ง พระโมคคัลลานะเข้าไปบิณฑบาตในนครราชคฤห์กับพระลักขณะผู้เป็นหนึ่งในพระปุราณชฎิล ขณะกำลังลงจากเขาคิชฌกูฏ พระลักขณะเห็นพระโมคคัลลานะยิ้มจึงถามว่า ท่านโมคคัลลานะ ท่านยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระโมคคัลลานะตอบว่า ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลา ท่านจงถามอีกครั้งในสำนักพระศาสดาเถิด
หลังจากบิณฑบาตและฉันภัตตาหารแล้ว พระสาวกทั้งสองได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา พระลักขณะจึงถามพระโมคคัลลานะอีกครั้งว่า ขณะเดินลงจากเขา เหตุใดท่านจึงยิ้ม
พระโมคคัลลานะตอบว่า เมื่อกำลังลงจากเขาคิชฌกูฏ ผมเห็นเปรตตนหนึ่ง ผอมแห้งเหมือนโครงกระดูกลอยอยู่ในอากาศ ถูกแร้งและนกตะกรุมรุมจิกกินเนื้อติดโครงกระดูกนั้นจนร้องครวญคราง ผมคิดว่า อัศจรรย์จริงหนอ สัตว์รูปร่างแบบนี้ไม่เคยเห็น ผมจึงได้ยิ้ม
พระผู้มีพระภาคสดับแล้วตรัสยืนยันกับภิกษุว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะเป็นผู้มีญานมองเห็นเปรตตนนั้นได้ เมื่อก่อนเราได้เห็นเปรตตนนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกใคร เพราะอาจไม่มีใครเชื่อ แต่บัดนี้โมคคัลลานะเห็นแล้ว เราจึงยืนยันว่าเปรตนั้นมีจริง ก่อนนี้เขาเคยเป็นคนฆ่าโคอยู่ในนครราชคฤห์นี้แหละ ด้วยผลของกรรมนั้นเขาต้องหมกไหม้อยู่ในนรกร้อยปี พันปี แสนปี เมื่อพ้นจากนรกแล้วยังมีเศษกรรมเหลืออยู่จึงต้องมาเกิดเป็นเปรต
เปรตเป็นสัตว์โลกอีกจำพวกหนึ่งที่มีทุกข์มากรองจากสัตว์นรก สัตว์นรกเป็นทุกข์เพราะถูกทรมาน ส่วนเปรตส่วนใหญ่เป็นทุกข์เพราะความหิวกระหาย ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้มากเมื่อรับโทษทัณฑ์จากนรกแล้วก็ต้องมารับกรรมต่อเป็นเปรต ดังเช่นเปรตที่พระโมคคัลลานะเห็น แต่คนบางพวกตายแล้วก็มาเกิดเป็นเปรตเลย
ที่อยู่ของเปรตเรียกว่าเปรตภูมิ หรือเปตติวิสยภูมิ บางพวกมีวิมานเป็นที่อยู่ แต่ก็มีเปรตอีกจำนวนมากที่เร่ร่อนไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ ทะเล และป่าช้า
เปรต มีกำเนิดได้ทั้ง ๔ อย่าง ทั้งเกิดในครรภ์ เกิดในไข่ เกิดในเถ้าไคล และเกิดโดยการผุดขึ้นเป็นโอปปาติกะ
ประเภทของเปรต
เปรตมีมากมายหลายจำพวก รูปร่างน่าเกลียดก็มี รูปร่างสวยงามก็มี ขนาดเล็กก็มี ขนาดใหญ่ก็มี เปรตบางพวกสูงเท่ามนุษย์ แต่บางพวกตัวสูงถึง ๖๐ โยชน์ เปรตบางพวกตัวผอมเหมือนกิ่งไม้แห้ง บางพวกเป็นสัตว์ประหลาดมีตัวเป็นงูมีหัวเป็นมนุษย์ บางพวกตัวเป็นมนุษย์แต่มีหัวเป็นสัตว์ บางพวกมีไฟลุกท่วมตัว บางพวกมีปากเท่ารูเข็ม บางพวกตัวเหม็นเน่ามีหนอนชอนไชตลอดเวลา บางพวกเป็นเหมือนชิ้นเนื้อเพราะไม่มีหนัง แต่บางพวกก็มีรูปร่างสวยงามเหมือนเทวดา เปรตบางจำพวกมีฤทธิ์มากสามารถเนรมิตรูปร่างให้เห็นเป็นเทวดา มนุษย์ ดาบส พระ เณร ชี หรือเป็นสัตว์ใดๆ ก็ได้
เปรตมี ๔ จำพวก คือ
๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นอุทิศและเซ่นไหว้ให้
๒. ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าว หิวน้ำ อยู่เป็นนิจ แต่กินอะไรไม่ได้ ใครอุทิศอะไรให้ก็ไม่ได้รับ
๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือ เป็นชื่อของอสุราที่เป็นเปรต
เปรตยังแบ่งได้อีกแบบหนึ่งเป็น ๑๒ จำพวก คือ
๑. วันตาสเปรต เปรตกินน้ำลาย
๒. กุณปาสเปรต เปรตกินซากศพ
๓. คูถขาทกเปรต เปรตกินอุจจาระ
๔. อัคคิชาลมุขเปรต เปรตมีเปลวไฟในปาก
๕. สุจิมุขเปรต เปรตมีปากเท่ารูเข็ม
๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เปรตหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
๗. สุนิชฌามกเปรต เปรตตัวดำเหมือนตอไม้เผา
๘. สุตตังคเปรต เปรตเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีด
๙. ปัพพตังคเปรต เปรตร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
๑๐. อชครังคเปรต เปรตร่างกายเหมือนงูเหลือม
๑๑. เวมานิกเปรต เปรตที่บางเวลาเป็นเปรต บางเวลาเป็นเทวดา
๑๒. มหิทธิกเปรต เปรตที่มีฤทธิ์มาก
เปรตยังแบ่งได้อีกแบบหนึ่งเป็น ๒๑ จำพวก คือ
๑. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตมีกระดูกติดกันเป็นท่อนๆ แต่ไม่มีเนื้อ
๒. มังสเปสิกเปรต เปรตมีเนื้อเป็นชิ้นๆ แต่ไม่มีกระดูก
๓. มังสปิณฑเปรต เปรตมีเนื้อเป็นก้อน
๔. นิจฉวิปริสเปรต เปรตไม่มีหนัง
๕. อสิโลมเปรต เปรตมีขนเป็นดาบ
๖. สัตติโลมเปรต เปรตมีขนเป็นหอก
๗. อุสุโลมเปรต เปรตมีขนเป็นลูกธนู
๘. สูจิโลมเปรต เปรตมีขนเป็นเข็ม
๙. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตมีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
๑๐. กุมภัณฑเปรต เปรตมีอัณฑะใหญ่
๑๑. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตจมอยู่ในอุจจาระ
๑๒. คูถขาทกเปรต เปรตกินอุจจาระ
๑๓. นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
๑๔. ทุคคันธเปรต เปรตมีกลิ่นเหม็นเน่า
๑๕. โอคิลินีเปรต เปรตมีร่างกายเป็นถ่านไฟ
๑๖. อลิสเปรต เปรตไม่มีศีรษะ
๑๗. ภิกขุเปรต เปรตมีรูปร่างเหมือนพระ
๑๘. ภิกขุณีเปรต เปรตมีรูปร่างเหมือนภิกษุณี
๑๙. สิกขมานเปรต เปรตมีรูปร่างเหมือน สิกขมานา
(หญิงที่อบรมก่อนบวชเป็นภิกษุณี)
๒๐. สามเณรเปรต เปรตมีรูปร่างเหมือนสามเณร
๒๑. สามเณรีเปรต เปรตมีรูปร่างเหมือนสามเณรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา

ชาญวิทย์  ปรีชาพาณิชพัฒนา