โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๒. กำเนิดมนุษย์และจักรวาล

๒. กำเนิดมนุษย์และจักรวาล

กำเนิด ๔
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในภพภูมิต่างๆ นั้น เรียกว่า สรรพสัตว์ หรือสัตว์โลก ซึ่งมีความหมายว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกธาตุ คัมภีร์ทางพุทธศาสนาไม่ได้กล่าวถึงว่าสรรพสัตว์แต่ละชีวิตมีแรกกำเนิดมาจากไหน จิตวิญญาณอุบัติมาได้อย่างไร แต่กล่าวว่าสรรพสัตว์นั้นคือการประกอบกันเข้าของรูปกับนาม รูป คือ ร่างที่ประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ส่วนนามประกอบด้วยจิตและเจตสิก ทั้งหมดอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ คือ มีเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป
การที่สรรพสัตว์ตนใดจะไปเกิดหรือไปอุบัติในภพภูมิไหนในจำนวน ๓๑ ภพภูมินั้น ย่อมเป็นไปตามกรรม คือ การกระทำดีชั่วอันเป็นวิบากของสรรพสัตว์ตนนั้นเอง หาใช่มีใครลิขิตไม่ วิธีการที่เหล่าสัตว์จะเกิดขึ้นหรืออุบัติขึ้นเป็นชีวิตใหม่ ในภพภูมิใหม่ ย่อมกำเนิดขึ้นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งใน ๔ อย่างนี้ คือ
๑. เกิดในมดลูก เรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด
ได้แก่ มนุษย์และสัตว์ที่คลอดออกมาเป็นตัวและเลี้ยงลูกด้วยนม
๒. เกิดในไข่ เรียกว่า อัณฑชะกำเนิด
ได้แก่ เป็ด ไก่ ปลา
๓. เกิดในเถ้าไคลหรือในที่อับชื้น เรียกว่า สังเสทชะกำเนิด
ได้แก่ เชื้อโรคทั้งหลาย
๔. เกิดโดยผุดขึ้นหรืออุบัติขึ้นไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด
ได้แก่ พระพรหม เทวดา สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และมนุษย์ต้นกัป
กำเนิดมนุษย์
มนุษย์ยุคปัจจุบันมีกำเนิดแบบชลาพุชะกำเนิด คือ เกิดมาจากครรภ์มารดา คลอดออกมาเป็นทารกแล้วจึงเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ในยุคเริ่มตั้งกัปนั้นโลกนี้ไม่มีมนุษย์อยู่ก่อน มนุษย์คนแรกจึงมีกำเนิดแบบโอปปาติกะ
เมื่อเริ่มตั้งกัปใหม่ จักรวาลมีสภาพเป็นเพียงความว่างเปล่าอยู่นานแสนนาน มีพรหมโลกชั้นสูงที่รอดพ้นการทำลายล้างเมื่อสิ้นกัปก่อนอยู่เบื้องบน กาลต่อมา ในความว่างเปล่านั้นเกิดมีมหาเมฆปรากฏขึ้น ก่อนจะเริ่มโปรยปรายละอองฝนบริสุทธิ์ลงมา จากนั้นฝนก็ตกหนักขึ้นโตเป็นสายเท่าก้านบัว ในที่สุดก็โตเป็นลำเท่าลำตาล สายฝนตกกระหน่ำไปทั่วจักรวาลอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน โดยมีลมรองรับอยู่เบื้องล่างและโอบประคองอยู่ด้านข้าง น้ำฝนจึงไม่ไหลไปไหน แต่ไหลรวมเป็นมหาสมุทรใหญ่เต็มท้องจักรวาล
เมื่อฝนหยุดตกระยะเวลาหนึ่ง ผืนน้ำก็เริ่มงวดแห้งลง พรหมโลกเบื้องต่ำและเทวโลกเริ่มปรากฏตามลำดับ ช่วงเวลานั้นเอง ก็มีพระพรหมในพรหมโลกบางองค์หมดอายุขัยและจุติมาอุบัติโดย โอปปาติกะกำเนิด เป็นสัตว์โลกที่มีกายทิพย์ละเอียด มีเสื้อผ้าอาภรณ์ทิพย์ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีกายสว่าง มีวิมานงดงามลอยอยู่ในอากาศ เป็นสัตว์โลกผู้มีจิตประภัสสร ไม่มีเพศดังเช่นพระพรหม เหาะไปมาได้ในอากาศ
ต่อมาผืนน้ำก็งวดแห้งลงอีก เกิดเป็นรูปลักษณ์จักรวาลเหลวๆ มีสภาพเหมือนนมสดที่ถูกเคี่ยวให้งวดแห้ง เมื่อน้ำงวดแห้งมากขึ้น ผิวน้ำจึงเริ่มจับเป็นแผ่นแข็งลอยเป็นฝาอยู่บนผิวน้ำ เรียกว่า ง้วนดิน ส่งกลิ่นหอมบริสุทธิ์ มีสีสวย สัตว์โลกที่ลอยไปลอยมาได้กลิ่นหอมจึงลงมาดมกลิ่นง้วนดินนั้นใกล้ๆ เหมือนภมรที่หลงใหลดอมดมกลิ่นเกสรดอกไม้
ต่อมาสัตว์โลกผู้หนึ่งสงสัยว่าง้วนดินกลิ่นหอมนี้มีรสชาดเป็นอย่างไร จึงใช้นิ้วช้อนขึ้นมาลองลิ้มชิมรสดู ง้วนดินกลิ่นหอมนั้นมีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง ซาบซ่านไปทั้งสรรพางค์กาย สัตว์โลกผู้นั้นติดใจหลงไหลจึงลงมากินง้วนดินนั้นอีกบ่อยๆ สัตว์โลกอื่นเห็นเข้าก็ลองบ้างเกิดติดใจรสชาดง้วนดินนั้นไปตามๆ กัน ถึงขั้นใช้มือปั้นง้วนดินกินกันเป็นคำๆ จิตประภัสสรเริ่มถูกกิเลสคือความอยากพอกพูน ร่างกายทิพย์เมื่อได้รับธาตุ ๔ จากอาหารหยาบเข้าไปผสม ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นกายหยาบ รัศมีสว่างค่อยๆ มืดมนลง ลอยไปลอยมาไม่ได้ต้องลงมาเดินดินกลายเป็นมนุษย์ต้นกัป
เมื่อรัศมีจากกายหายไป จักรวาลนี้ก็มืดมิด สัตว์โลกทั้งหลายเริ่มตกใจกลัว กาลนั้นกุศลผลบุญเก่าก็ส่งผลให้มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มาโคจรอยู่บนฟ้า และมีดวงดาวต่างๆ มากมายช่วยให้แสงสว่าง ช่วงเวลาเดียวกันนั้น เขาสิเนรุ ป่าหิมพานต์ และภูเขาสัตตบริภัณฑ์ ก็ผุดขึ้นเป็นรูปลักษณ์จักรวาลที่สมบูรณ์
ต่อมาน้ำงวดแห้งมากยิ่งขึ้นไปอีก ง้วนดินก็แข็งกระด้างขึ้นกลายเป็นกระบิดินมีสัณฐานเหมือนเห็ด กลิ่นสีและรสอร่อยน้อยกว่าง้วนดิน มีรสชาดคล้ายเนยใส สัตว์โลกก็ได้อาศัยกินกระบิดินนั้นสืบมา
เมื่อน้ำงวดแห้งมากขึ้นอีก กระบิดินก็ยิ่งแข็งกระด้างมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นเครือดิน มีลักษณะคล้ายผลมะพร้าว กลิ่นหอมและรสอร่อยน้อยกว่ากระบิดิน แต่ก็ยังนับว่าเป็นอาหารเลิศรสสำหรับสัตว์โลกในยุคต้นกัป
ต่อมาเครือดินก็แข็งกระด้างจนกินไม่ได้ โลกยุคนั้นก็มีข้าวสาลีเกิดขึ้นเป็นอาหาร ข้าวสาลียุคต้นกัปนั้นเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องปลูกไม่ต้องไถ เมล็ดใหญ่มาก เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอม เป็นเมล็ดข้าวสารโดยไม่ต้องสี เพียงเด็ดวางบนแผ่นหินก็เกิดไฟลุกขึ้นหุงเมล็ดข้าวให้สุก ใครปรารถนารสชาดเป็นแบบใดก็ได้ข้าวสุกมีรสชาดเป็นแบบนั้น ข้าวสาลีนี้เมื่อเก็บเมล็ดมาในตอนเย็น รุ่งเช้าก็มีเมล็ดใหม่สุกงอกขึ้นมาแทนที่ สัตว์โลกยุคแรกนี้จึงเป็นสัตว์โลกที่มีความสุขสบาย ยังไม่มีภาระเรื่องการทำมาหากิน
ต่อมาสัตว์โลกเริ่มมีกิเลสหนาหนักขึ้นอีก เมล็ดข้าวสาลีก็เริ่มเล็กลง มีเปลือก มีรำ ที่เคยกินง่ายๆ ก็กลับกินยากขึ้น ต้องเสียเวลามาร่อนเปลือกและฝัดรำ อีกทั้งข้าวสาลีที่เก็บแล้วก็ไม่งอกขึ้นมาเองเหมือนดังแต่ก่อน สัตว์โลกยุคนี้จึงเริ่มปักปันเขตแดนทำนาปลูกข้าวกินเองด้วยความเหนื่อยยาก สัตว์โลกพวกบางกลุ่มเกิดความขี้เกียจที่จะต้องไปเก็บเกี่ยวข้าวสาลีทุกวัน จึงเริ่มสร้างยุ้งฉางเก็บเกี่ยวข้าวมาสะสมไว้ ขณะที่สัตว์โลกบางคนเห็นแก่ตัวแอบลักขโมยข้าวสาลีของคนอื่น เมื่อถูกจับได้ก็จะถูกตักเตือนแต่ก็ยังมีการขโมยซ้ำอีกเป็นครั้งที่สองครั้งที่สาม จึงเริ่มมีการลงโทษที่หนักขึ้น
สัตว์โลกยุคนี้หมดความเป็นทิพย์ไปหมดแล้ว มีร่างกายแข็งแรงขึ้น ผิวพรรณหยาบขึ้น บุญกรรมเก่าที่เคยสร้างไว้ตั้งแต่สมัยก่อนจะเป็นพระพรหมก็เริ่มส่งผล บางพวกมีบุญเก่าดีก็มีรูปร่างสวย ผิวพรรณงาม บางพวกบุญเก่าไม่ดี มีราคะโทสะโมหะมากก็มีรูปร่างไม่สวย ผิวไม่งาม จึงเริ่มเกิดการแบ่งผิว แบ่งชนชั้น และเริ่มเหยียดหยามกัน
เมื่อบริโภคแต่อาหารหยาบร่างกายจึงต้องมีการขับถ่าย ผิวกายจึงเกิดรอยปริแยกเพื่อขับถ่าย เกิดอวัยวะเป็นเพศหญิงเพศชาย กลายเป็นมนุษย์เดินดิน ไม่สามารถลอยไปมาได้ดังแต่ก่อน
เมื่อมนุษย์เริ่มมีเพศที่แตกต่างกัน หญิงชายจึงเริ่มเพ่งเล็งเพศกัน กำหนัดที่เคยสงบระงับด้วยพรหมวิหารธรรมเมื่อครั้งเป็นพระพรหมก็เริ่มร้อนรน กามราคะกำเริบ เริ่มจับคู่เสพเมถุนกัน ในครั้งนั้นมนุษย์ผู้ยังมีจิตปภัสสรดุจพระพรหม เมื่อเห็นหญิงชายใดทำกรรมลามกเสพสังวาสกัน ก็จะด่าว่า ห้ามปราม จับแยก เอาฝุ่นโปรยใส่ เมื่อห้ามไม่ได้จึงออกปากขับไล่ มนุษย์เหล่านี้จึงเริ่มสร้างบ้านเรือน และแอบไปเสพสังวาสกันในที่มิดชิด
เมื่อเสพสังวาสกันแล้ว ก็เริ่มเกิดมนุษย์ยุคใหม่ที่มีกำเนิดแบบ ชลาพุชะ คือ เกิดในมดลูกและคลอดออกมาเป็นทารก หลังจากนั้นการจุติของพระพรหมมาอุบัติเป็นมนุษย์แบบโอปปาติกะกำเนิดก็หมดสิ้นไป แต่มนุษย์ยุคต้นกัปนี้ก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีศีลธรรมดีกว่ายุคปัจจุบันมาก จึงมีอายุยืนยาวถึงอสงไขยปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา

ชาญวิทย์  ปรีชาพาณิชพัฒนา