โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๑๙. สุภัททาเทวี

๑๙. สุภัททาเทวี

นางแก้ว
พระเจ้าจักรพรรดิ คือ พระราชาผู้มีบุญญาธิการและบุญฤทธิ์สุดประมาณ ทรงเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา จัดเป็น ๑ ใน ๔ ถูรปหบุคคลคือบุคคลอันควรสร้างสถูปบูชาอันหาได้ยากยิ่งในโลก คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ และพระเจ้าจักรพรรดิ
คำว่าพระเจ้าจักรพรรดินั้น บางครั้งก็เรียกว่า พระบรมจักรพรรดิ พระบรมจักร หรือ พระเจ้าธรรมิกราช
การจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิไม่อาจได้มาด้วยตระกูล ด้วยอำนาจ หรือด้วยการใช้กำลัง แต่ได้มาด้วยบุญบารมีที่สร้างสมไว้มากในอดีต ร่วมกับการรักษาทศพิธราชธรรมในปัจจุบัน และต้องสามารถรักษาจักรวรรดิวัตรอันเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิโดยเฉพาะได้สมบูรณ์
พระเจ้าจักรพรรดิทุกพระองค์ จะอุบัติขึ้นเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น และอุบัติเฉพาะในช่วงที่อายุขัยของชาวชมพูทวีปยืนยาวเกินแปดหมื่นปีขึ้นไป
เนื่องจากพระเจ้าจักรพรรดิไม่ได้อุบัติโดยตระกูล ดังนั้น พระเจ้าจักรพรรดิทุกพระองค์จึงเริ่มจากการเป็นพระราชาธรรมดาก่อน เมื่อรักษาทศพิธราชธรรมและรักษาจักรวรรดิวัตรได้สมบูรณ์แล้ว รัตนะ ๗ ประการคู่บุญบารมีก็จะบังเกิดขึ้น คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว และขุนพลแก้ว
จักรแก้ว เป็นยานพิเศษพาพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จดำเนินไปได้ในนภากาศ และสามารถพาเสด็จไปถึงทวีปใหญ่ทั้งสี่ และทวีปน้อยทั้งสองพันได้
ช้างแก้ว เป็นช้างมงคลอันประเสริฐ สีขาวสะอาด มีอิทธิฤทธิ์พาพระเจ้าจักรพรรดิเหาะไปได้
ม้าแก้ว เป็นม้ามงคล ลักษณะงดงาม มีอิทธิฤทธิ์พาพระเจ้าจักรพรรดิเหาะไปได้
แก้วมณี เป็นดวงแก้วขนาดโต ๔ ศอก แวดล้อมด้วยดวงแก้วเล็กๆ แปดหมื่นสี่พันดวง มีรัศมีสว่างดุจกลางวัน เป็นแก้วสารพัดนึกช่วยบันดาลให้มหาชนสำเร็จสมความปรารถนา
นางแก้ว เป็นสตรีคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ
คหบดีแก้ว หรือขุนคลังแก้ว เป็นผู้มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นขุมทรัพย์ในดินและในน้ำได้
ขุนพลแก้ว เป็นบัณฑิต มีปัญญาเฉลียวฉลาดเกินคนทั้งหลาย เป็นผู้มีเจโตปริยญาณ เป็นผู้รู้ใจคนอื่นที่อยู่ในรัศมี ๑๒ โยชน์
พระเจ้าจักรพรรดิ เป็นมนุษย์ผู้มีบุญญาธิการสูงสุดฝ่ายชาย ส่วนนางแก้วเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงสุดฝ่ายหญิง ทั้งสองไม่อาจเกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่ต้องเกิดมาคู่กัน
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในกุสาวดีนคร
กุสาวดีในครั้งนั้นเป็นนครใหญ่และเจริญรุ่งเรืองมาก มีกำแพงล้อมรอบ ๗ ชั้น คือ กำแพงทองคำ กำแพงเงิน กำแพงไพฑูรย์ กำแพงแก้วผลึก กำแพงแก้วทับทิม กำแพงบุษราคัม และกำแพงแก้วทุกอย่างรวมกัน
กุสาวดีประกอบด้วยประตู ๔ ชนิด คือ ประตูทองคำ ประตูเงิน ประตูแก้วไพฑูรย์ และประตูแก้วผลึก แต่ละประตูปักเสาระเนียด ๗ ต้น คือ เสาทองคำ เสาเงิน เสาแก้วไพฑูรย์ เสาแก้วผลึก เสาแก้วทับทิม เสาบุษราคัม และเสาแก้วทุกอย่างรวมกัน
กุสาวดีมีแถวตาลล้อม ๗ แถว คือ ตาลทองคำ ตาลเงิน ตาลไพฑูรย์ ตาลแก้วผลึก ตาลแก้วทับทิม ตาลบุษราคัม และตาลที่สำเร็จด้วยแก้วทุกอย่างรวมกัน
พระโพธิสัตว์ทรงเป็นราชกุมารอยู่แปดหมื่นสี่พันปี ทรงเป็นอุปราชอีกแปดหมื่นสี่พันปี จากนั้นจึงขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระราชาพระนามว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนะ
เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะขึ้นครองราชสมบัติแล้ว พราหมณ์ปุโรหิตได้ถวายคำแนะนำให้พระองค์ทรงรักษาจักรวรรดิวัตร เพื่อจะได้สำเร็จเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะบำเพ็ญจักรวรรดิวัตรได้ครบถ้วนสมบูรณ์ รัตนะทั้ง ๗ ประการก็บังเกิดแก่พระองค์
เริ่มจากการปรากฏของจักรแก้วผุดขึ้นจากท้องนทีสีทันดร ลอยล่องสู่นภากาศ เปล่งแสงโอภาสดังแสงสุริยะ ลอยมาสู่พระราชนิเวศน์ จักรแก้วนี้เป็นพาหนะพาพระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จไปยังทิศทั้งสี่ เมืองน้อยใหญ่ได้เห็นบารมีแล้วต่างสามิภักดิ์แก่พระองค์โดยไม่ต้องรบ
ต่อมาช้างแก้วชื่อ อุโบสถ จากป่าหิมพานต์ก็มาปรากฏในโรงช้าง เพียงพระเจ้ามหาสุทัสสนะทอดพระเนตรแล้วตรัสว่าช้างนี้ถ้าฝึกได้ก็จะดี ช้างแก้วนั้นก็กลายเป็นช้างแสนรู้เหมือนได้รับการฝึกมาอย่างดี
ต่อมาม้าแก้วตระกูลสินธพชื่อ วลาหก ก็เหาะมาจากป่าหิมพานต์มาอยู่ในโรงม้า เพียงพระเจ้ามหาสุทัสสนะตรัสว่าม้านี้ถ้าฝึกได้ก็จะดี ม้านั้นก็กลายเป็นม้าแสนรู้เหมือนได้รับการฝึกมาอย่างดี พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงประทับม้าแก้วนี้เสด็จไปได้ทั่วแผ่นดิน
ต่อมาแก้วมณีแปดเหลี่ยมขนาดยาวสี่ศอก มีแสงสุกสกาวไกลถึงโยชน์หนึ่งจาก วิบุลบรรพต ก็ปรากฏ
พระเจ้ามหาสุทัสสนะประทับจักรแก้วเสด็จไปยังทวีปทั้งสี่ เมื่อเสด็จไปถึงอุตตรกุรุทวีปก็ได้พบพระนางยโสธราซึ่งเกิดเป็นพระนางสุภัททา ราชธิดาตระกูลมัททราช ทรงรับพระนางสุภัททาเป็นนางแก้วคู่บารมี
พระนางสุภัททาเทวีเป็นผู้มีพระสิริโฉมงดงามมาก มีทรวดทรงสมบูรณ์ ไม่สูงเกินไม่ต่ำเกิน ไม่ผอมเกินไม่อ้วนเกิน ไม่ดำเกินไม่ขาวเกิน เป็นหญิงงาม น่ารัก น่าชม ใครเห็นต้องถูกตาตรึงใจ ใครเห็นต้องเลื่อมใสศรัทธาหลงมองไม่รู้เบื่อ
ผิวพรรณวรรณะของพระนางสุภัททาเทวีนั้นนุ่มเนียนดุจปุยนุ่น มีไออุ่นยามเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิหนาว และฉ่ำเย็นในยามที่พระเจ้าจักรพรรดิร้อน มีแสงสว่างนวลออกจากกายเป็นรัศมีประมาณ ๑๒ ศอก และมีกลิ่นหอมเหมือนดอกนิลุบลที่บานแย้ม
วาจาของพระนางเป็นวาจาที่นุ่มนวลอ่อนหวาน มีกลิ่นหอมฟุ้งออกจากปากเมื่อเจรจา แม้ใจของพระนางก็มั่นคง ซื่อตรงและรักพระสวามี ไม่เคยมีแม้เพียงชั่วขณะจิตที่จะคิดนอกพระทัย
พระนางสุภัททาเทวีเป็นสตรีผู้งามเลิศที่สุดในโลก ความงามของพระนางเกินกว่าจะเปรียบเทียบกับความงามของมนุษย์คนใดได้ เพราะพระนางงามเลิศล้ำดังอัปสรสวรรค์ ต่างกันเพียงที่พระนางมีกายมนุษย์ ไม่ได้มีกายทิพย์ดั่งสาวสวรรค์เท่านั้น
หลังจากได้นางแก้วแล้วไม่นานก็เกิดคหบดีแก้วและขุนพลแก้ว ทำให้พระเจ้ามหาสุทัสสนะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิโดยสมบูรณ์
พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงเปี่ยมล้นไปด้วยบุญฤทธิ์ เมื่อพระองค์ดำริสิ่งใดสิ่งนั้นก็สำเร็จสมบูรณ์ กุสาวดีในรัชสมัยของพระองค์จึงบริบูรณ์ไปด้วยโภคทรัพย์สำหรับบำรุงมหาชน พระองค์ทรงสร้างสระโบกขรณีสำหรับประชาชน และทรงสร้างสุธัมมาปราสาทที่ใหญ่โตโอฬาร
พระเจ้ามหาสุทัสสนะและพระนางสุภัททาเทวีปกครองกุสาวดีและทวีปทั้งสี่อยู่แปดหมื่นสี่พันปี วันหนึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงบุญกุศลที่เป็นเหตุให้พระองค์บริบูรณ์ด้วยจักรพรรดิสมบัติว่าเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญพรหมวิหาร และบำเพ็ญฌานอบรมจิตในปางก่อน พระองค์จึงเริ่มทรงฌานสมาบัติ และเจริญพรหมวิหารเป็นปกติอีกแปดหมื่นสี่พันปี
วันหนึ่ง พระนางสุภัททาเทวีระลึกว่าไม่ได้เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะมากว่า ๑๐๐ ปีแล้ว พระนางจึงแต่งขบวนกองทัพ ๔ เหล่าไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ
พระเจ้ามหาสุทัสสนะสดับเสียงขบวนจึงเสด็จออกมาดู ทอดพระเนตรเห็นพระนางสุภัททาเทวีเสด็จนำหน้ามา จึงตรัสบอกให้พระเทวีรอก่อน แล้วรับสั่งให้ราชบุรุษยกบัลลังก์ทองไปตั้งในป่าตาลทองคำ และเสด็จไปประทับบรรทมสีหไสยาสน์บนบัลลังก์ทอง
พระนางสุภัททาเทวี ทอดพระเนตรเห็นพระวรกายของพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่าวันนี้สุกปลั่งเป็นพิเศษ รู้ว่าถึงกาลที่พระเจ้าจักรพรรดิจะสิ้นพระชนม์แล้ว จึงกราบทูลขอให้พระเจ้ามหาสุทัสสนะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ก่อน อย่าเพิ่งด่วนละทิ้งจักรพรรดิสมบัติเหล่านี้ไปเลย
พระเจ้ามหาสุทัสสนะดำรัสตอบว่า
“จักรพรรดิสมบัติ ราชสมบัติ หรือมนุษย์สมบัติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เล็กหรือใหญ่ ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ไม่ยั่งยืนทั้งสิ้น พวกเธอไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น แม้ตัวเราเองก็ไม่ได้มีชีวิตดำรงอยู่ยั่งยืนเหมือนกัน บัดนี้เราถึงกาลกิริยาแล้ว พวกเธอทุกคนจงอย่าเศร้าหมอง อย่าห่วงใย เพราะกาลกิริยาที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองและห่วงใย จะทำให้ต้องไปเกิดเป็นยักษ์ เป็นสุนัข แพะ โค กระบือ หนู ไก่ หรือเป็นนกอยู่ในเรือน
พวกเธอทั้งหลายอย่าได้ส่งเสียงคร่ำครวญเสียใจ เพราะสังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วเสื่อมไป เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นวัฏฏะ
ดูก่อนสุภัททาเทวี มีพระนิพพานอย่างเดียวเท่านั้นที่ระงับวัฏฏะนี้ได้ และได้ชื่อว่าเป็นสุขอย่างแท้จริง อื่นใดที่จะชื่อว่าเป็นสุขกว่านิพพานนั้นไม่มีเลย
พวกเธอทั้งหลายจงให้ทาน รักษาศีล และกระทำอุโบสถกรรม ดังนี้แล้ว จะได้เป็นผู้มีเทวโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า”
เมื่อพระเจ้ามหาสุทัสสนะบรมจักรพรรดิสิ้นพระชนม์แล้ว จักรแก้วและแก้วมณีก็อันตรธานไป คุณพิเศษของช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว คหบดีแก้ว และขุนพลแก้ว ก็เสื่อมไป
หลังจากนั้นพระนางสุภัททาเทวีก็ไม่ได้เป็นผู้ประมาท ทรงรักษาศีลและบำเพ็ญฌานสมาบัติตามอย่างพระเจ้ามหาสุทัสสนะพระสวามีตลอดชีวิตที่เหลือ
ที่มา :
มหาสุทัสสนชาดก ขุ. ชา.
มหาสุทัสสนสูตร ที. มหา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา

ชาญวิทย์  ปรีชาพาณิชพัฒนา